วันนี้ ชวนมาหาทรัพย์สมบัติเพิ่มกันครับ
เคยได้ยินคำนี้มั้ยครับ "จงถือว่า สุขภาพ คือ ทรัพย์สมบัติ ประการแรก" ถ้าไม่เคยได้ยิน หรือจำไม่ได้ว่ามาจากไหน เดี๋ยวเฉลยให้ตอนท้ายครับ วันนี้ผมจะมาคุยเรื่องสุขภาพครับ เหตุที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะว่า ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนบ่อยพอควร หน้าร้อน แต่ว่ามีฝนตก รวมทั้งกลางคืนอากาศก็เย็นๆไม่ค่อยร้อนด้วย อากาศเปลี่ยนไปมาแบบนี้ คนป่วยกันไปเยอะครับ โดยเฉพาะ โรคยอดฮิต อย่างหวัด นั่นล่ะครับ อีกทั้งเริ่มมีข่าวไข้หวัดนกเข้ามาอีก ยังไม่นับรวมคนรอบๆตัวผมอีกหลายคน ที่เริ่มมีอาการของโรค office syndrome (ออฟฟิต ซินโดรม) หรือกลุ่มโรค ที่มีสาเหตุมาจากการนั่งทำงานใน office นั่นแหล่ะครับ แต่ถ้าคิดว่าแค่นั้นหมดแล้ว ยังครับ ยังมีเรื่องของรูปร่าง ความอ้วน มาเป็นตัวกวนใจใครหลายคนอีกต่างหาก เรียกว่า มากันครบเลย
หลายคน อยากมีช่วงสุดท้ายของชีวิต ด้วยการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข จริงมั้ยครับ แต่ว่า วันนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าเราไม่เริ่มทำมันตั้งแต่วันนี้ มันก็เหมือนกับว่า ถ้าตอนแก่เราอยากมีเงินเก็บเยอะๆ จะได้เลี้ยงดูตัวเองได้ แต่ว่าทุกวันนี้ เราใช้เงินหมดตลอด เดือนชนเดือน หรือ อยู่ดีๆก็ลาออกเฉยๆ เพราะเบื่อแล้ว แล้วก็ใช้ชีวิตไปวันๆแค่นั้น แล้วตอนแก่จะเหลืออะไรครับ ดีไม่ดี ที่อยู่ที่ใช้นอนหลับพักผ่อน ก็จะไม่มีด้วยซ้ำ
ผมเอง เป็นคนที่เริ่มหันมาออกกำลังกาย ได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว อ่านได้จาก คอมพิวเตอร์บ่อนทำลายสุขภาพ ที่เขียนไว้เมื่อปี 2011 ตั้งแต่นั้นมา ผมก็ออกกำลังกายเรื่อยมา ที่จำได้ก็คือ ไปออกกำลังกายที่ยิมเพาะกาย ประมาณ 4 เดือน แล้วเข้าหน้าฝน ก็เลิกไปเพราะว่าเดินทางลำบากพอควร จากนั้น ไปสมัคร fitness ที่โรงแรมแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่ทำงาน เป็นรายปี ก็เข้าไปเล่นต่อเนื่อง พยายามให้ได้อาทิตย์ละ 2-3 ครั้งโดยตลอด แต่ก็มีหลุดๆไปบ้าง แบบหายไปสัก 1-2 อาทิตย์ แล้วมีช่วงท้ายๆ ที่หายไปเกือบ 3-4 เดือน เพราะว่า ย้ายที่ทำงาน และย้ายที่พักด้วยซึ่งผลที่ได้รับมาทั้งหมดนี้ก็คือ ร่างกายมีรูปร่างที่สมส่วนมากขึ้น มีกล้ามหน้าอก ไหล่ แขน ทั้งที่เมื่อก่อนจะออกกำลังกาย กำลังจะอ้วน มีแก้ม มีแหนียงที่คอ เพราะว่ามัวแต่กินเยอะ (มีความสุขกับการตระเวนกินร้านอร่อย) จำได้ว่า น้ำหนักสูงสุดคือ 67 กิโลกรัม (สูง 170) จริงๆไม่ได้ถือว่าอ้วนเลย แต่ว่าที่น่ากังวลคือ มีพุงครับ แล้วมันดูน่าเกลียด อีกทั้ง รู้สึกทำอะไรก็เหนื่อยง่ายด้วย ไม่ค่อยชอบเท่าไร
จากนั้นผมก็เลยคิดว่าไม่ได้แล้ว ต้องปรับตัวเองบ้างแล้ว ทำให้ออกกำลังกายอย่างจริงจัง เรื่องอาหาร ก็เพียงแต่ลด buffet ลง แต่ไม่เลิก ผมถือว่าการกินคือความสุข ดังนั้น มื้อใหญ่, buffet, ร้านอร่อย ต้องมีอยู่เสมอ ผมจะไม่เลือกการทรมานตัวเอง โดยการ อดมื้อเย็น งดข้าว หรือ apple ลูกเดียว(แล้วมันจะอิ่มมั้ย) เพื่อลดน้ำหนักอะไรแบบนั้นครับ ผมคิดว่า ออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งจะเป็นการลดน้ำหนักอย่างถูกวิธีด้วย ซึ่งผมก็ทำน้ำหนักลดลงมาเรื่อยๆ จนมาอยู่นิ่งที่ 62 กิโลกรัม ขึ้นลงกว่านี้ไม่มาก เพราะว่าลดโดยไม่ใช้ยาลดความอ้วน ดังนั้นกินเยอะก็ไม่ค่อยอ้วนครับ
แต่ผลที่ได้มากกว่า ก็คือ ร่างกายที่แข็งแรง ไม่เหนื่อยง่าย ไม่ว่าเราจะทำกิจกรรมอะไรก็ตาม และมีแรงทำกิจกรรมต่างๆได้มากขึ้น นานขึ้น จนล่าสุดนี่เลย แฟนผมป่วยมากพอสมควร เพราะว่าทำงานเยอะ ไม่ออกกำลังกาย พักผ่อนน้อย สุดท้ายเป็นหวัด ส่งผลให้พี่สาว ติดหวัดไปด้วย แต่มาเที่ยวกับผม ได้อยู่ใกล้ชิดกัน ทีแรกผมก็คิดว่า ผมก็คงติดด้วยแน่ๆ(เลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ทำใจไว้แล้ว) แต่ไม่ครับ ผมกลับไม่ติดหวัดเลย ยังใช้ชีวิตปกติอยู่ ผมก็แปลกใจ แต่คิดว่าเป็นเพราะว่าช่วงนี้ออกกำลังกายบ่อยด้วย คือ อาทิตย์ละ 2-3 ครั้งไม่ให้ขาด เลยทำให้ร่างกายแข็งแรง น้ำหนักก็ลด สุขภาพดี หุ่นดีด้วย
ผมมีแรงบันดาลใจอันหนึ่งก็คือ ได้เห็นคนที่ป่วยหนักๆ มากๆในวัยสูงอายุกันแล้ว ผมก็มองว่า ถ้าเราเครียดหาเงิน จนสุขภาพเราย่ำแย่ แล้วตอนแก่เราจะเป็นอย่างไร ก็ต้องเอาเงินที่หามานั่นแหล่ะ รักษาตัวเอง แล้วมันคุ้มหรือเปล่าล่ะ ไม่คุ้มหรอกครับ เพราะการไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ทำให้ผมต้องพยายามจัดสรรเวลาไปออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ประหนึ่งว่ามันเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต ใช่ครับ มันสำคัญจริงๆ
ตอนนี้เป้าหมายผมคือ การมี six pack ซึ่งการมี six pack นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยิ่งจะทำให้หุ่นเป็นเหมือนนายแบบ ยิ่งยากยิ่งกว่า จริงๆการทำให้หุ้นล่ำ กล้ามเป็นริ้วๆเหมือนนายแบบ ต้องใช้ความพยายาม และความอดทนสูงมากๆนะครับ ไม่ใช่ว่าใครๆก็ทำได้ ถ้าไม่เชื่อคุณลองเองแล้วจะรู้ครับ ผมมีรุ่นน้อง ที่ วิดพื้น และ sit upทุกๆวัน ทำมาปีหนึ่งได้แล้ว แต่ทุกวันนี้ก็ไม่มี six pack แถมยังผอมแห้งอีกด้วย สุขภาพก็ไม่ได้ดีเท่าไร มีป่วยเป็นระยะตาม ฤดูกาลอยู่ นั่นเป็นเพราะว่าการออกกำลังกาย มันก็เป็น ศาสตร์อย่างหนึ่งครับ ไม่ใช่ว่าออกกำลังกายมั่วๆ แล้วจะตีความว่า ฉันออกกำลังกายแล้ว เช่น คนที่ขึ้นเดินบนลู่วิ่งทุกวัน วันละ 45 นาที แล้วก็ภูมิใจว่า ฉันออกกำลังกายทุกวันนะ นั่นก็ไม่ใช่ครับ ผิดถนัด ไม่ใกล้เคียงกับการออกกำลังกายเลยล่ะ (แต่มันก็มีข้อดีคือ เค้าก็จะเป็นคนที่เดินได้อึดขึ้นนะ ไม่ใช่ว่าไม่ได้อะไรเลย) เพียงแต่อยากจะสื่อว่า ถ้าคุณต้องการทำอะไร คุณต้องศึกษามันด้วย ไม่ใช่ว่าเล่นมั่วๆไปแล้วคิดว่าจะดีเหมือนกันหมด
ผมเอง ก็ได้ศึกษามาระดับหนึ่ง ทั้งเรื่องการท่าทางการออกกำลังกาย รูปแบบการออกกำลังกายต่าง(ว่าต้องการอะไรจากการออกกำลังกาย) การลดน้ำหนัก การเพิ่มน้ำหนัก หรือสุขภาพ ยาวไปจนถึงเรื่องอาหารเลย ซึ่งถ้าใครกำลังมีปัญหา ปรึกษาผมก็ได้นะครับ ที่กล่องด้านล่างนี้แหล่ะ ผมให้คำปรึกษาฟรีครับ ไม่ต้องเสียเงิน
ปัจจุบัน น้ำหนักผม 60 กิโล ตอนนี้เริ่มแก้มตอบๆไปแล้วครับ เพราะว่าผมเลือกกินแต่อาหารที่ไขมันต่ำ ทำอาหารกินเองแทบทุกมื้อ (แต่มื้อจัดหนักนอกบ้านก็ยังมีอยู่นะ) และออกกำลังกายต่อเนื่องอย่างที่บอก และพยายามปรับการขับถ่าย จากที่เมื่อก่อน ไม่รู้กี่วันถ่ายที ก็ถ่ายมันตอนที่ปวดอย่างเดียวแล้วกัน ปรับมาให้ถ่ายทุกวัน ก็ได้ผลที่ดีต่อเนื่องด้วยครับ เกือบสำเร็จแล้ว ผมจะลดน้ำหนักอีกก็ได้ แต่กำลังคิดว่า กลัวว่าจะผอมไป เพราะว่า คนรู้จักผมที่เจอกันเมื่อปีก่อน มาเจออีกที ปีนี้ ทักว่าผอมลงไปเยอะ แทบทุกคนเลย (ไม่ได้เจอห่างกันประมาณ 4 เดือน) หรือแม่ผมเอง ก็ยังทักเลยครับ
สำหรับใครที่อยากผอม ผมจะเอาสูตรผมมาให้ลองทำกัน ก็คือ ใช้หลายอย่างผสมๆกัน เนื่องจาก life style ผมคือ อยู่หน้าจอคอมเกือบตลอดเวลา ยกเว้นตอนนอน กับตอนเดินทาง นั่นแหล่ะ ก็จะมี
การออกกำลังกาย
ผมออกกำลังกาย ด้วยการวิ่ง หรือ ปั่นจักรยานก่อน ประมาณ 10 - 15 นาที ขึ้นอยู่กับความหนัก แต่หนักในที่นี้ ก็คือ จะวิ่ง หรือ ปั่นจนพูดออกมาเป็นคำไม่ได้เลยครับ แต่ว่าไม่ได้ต่อเนื่องตลอด มีจังหวะสลับเบาบ้าง ขึ้นอยู่กับช่วงนั้นกินเยอะแค่ไหน มีแรงหรือเปล่า เพราะว่าบางช่วงที่ผมกินน้อย ก็แทบไม่มีแรงวิ่งให้ครบเหมือนกัน แต่ก็พยายามทำให้ได้ครับ
จากนั้น พักสักครู่เดียว ก็เล่น weight training ต่อ หรือการออกกำลังกายโดยใช้ลูกเหล็กนั่นล่ะครับ โดยผมก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ กล้ามหน้าอก ไหล่ หลัง ปีก ขา วนๆไปเรื่อยๆ และปิดท้ายด้วยท้องทุกครั้ง โดยวันหนึ่ง ผมจะเล่น 1-2 อย่างเท่านั้น แต่เน้นความหนัก ที่สำคัญของ weight training คือ ต้องเล่นให้ถูกต้องตามท่า ไม่ใช่ว่า ไปถึง หยิบลูกเหล็กมาแล้วก็ยกเอาๆ โดยไม่รู้อะไรเลยนั่นอันตรายนะครับ กล้ามก็ไม่ขึ้น อาจจะบาดเจ็บเป็นของแถมอีก
อาหารการกิน
อย่างที่ผมบอกแล้ว ว่าผมไม่อด ดังนั้น แน่นอนว่าทุกมื้อผมกินอาหารแน่นอน แต่ว่ากินอะไรนั้นล่ะ เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด อาหารที่ผมกิน ผมจะพยายามทำเอง โดยเน้นทางผัก กับ โปรตีนจากไข่ และ สัตว์เนื้อขาว สำหรับข้าว เป็นข้าวหอมกล้องครับ เพราะว่ามันอร่อยมาก และชอบรสสัมผัสมันด้วย นุ่ม หนึบ , ผัก ผมก็จะวนๆไป แต่หลักๆจะมี แครอท กะหล่ำปลี อื่นๆก็แล้วแต่ว่าอะไรน่ากินก็ซื้อมากิน โดยผมจะกินเป็นผักสดเลย ไม่ปรุงอะไร แค่เอามาซอยๆก็พอ แล้วก็มักจะมีน้ำพริก ติดครัวเสมอ ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริกปลาย่าง นรกแมงดา หรืออื่นๆ ตามที่ไปเดินเจอแล้วซื้อมากินครับ ,เนื้อสัตว์ ก็อย่างที่บอก สัตว์เนื้อขาว ก็คือ ไก่ หรือ ปลา นั่นล่ะครับ ผมก็เลยกินอกไก่ซะเป็นหลัก (ไม่ติดหนัง) และปลา ก็กินปลาทู
ที่กินอาหารตามรายการนี้ เพราะว่าปรุงง่ายครับ ปลาทู เข้า microwave ก็กินได้เลย เนื้อไก่ ก็หั่นๆแล้วหมักเพื่อเพิ่มรสซะหน่อย แล้วเข้า microwave ทำให้สุกเช่นเดียวกัน ไม่ต้องผัด ทอด หรือปรุงด้วยน้ำมันเลย โดยพยายามทำอาหาร 1 อย่างต่อครั้ง ให้กินได้ 3 มื้อ โดยแบ่งเก็บใส่ถุง แช่ freeze เอาไว้ จะได้ไม่เสียเวลาทำบ่อยๆ(เพราะไม่ค่อยมีเวลา)
สำหรับมื้อเช้า ผมก็จะกินอาหารวนไปเรื่อยๆ ข้าวโอ๊ตกับนมบ้าง ข้าวกล้อง กับ กับข้าวที่ทำเอาไว้บ้าง ขนมปังบ้าง แล้วแต่โอกาส แต่ผมไม่อดมื้อเช้าแน่นอน
สำหรับมื้อเที่ยง ก็เตรียมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ใส่กล่องแช่เย็นเอาไว้ แล้วก็หยิบมาที่ทำงานด้วย ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อ ไม่ต้องเดินตากแดดไปไกลๆ (เดินใกล้สุด ก็เกือบ ครึ่งกิโลครับ หากินยากจริงๆ) อีกทั้งอาหารที่เค้าทำขาย ก็อุดมไปด้วยน้ำมัน ไขมันเยอะจริงๆ อาหารที่ผมเอามากินเป็นมื้อกลางวัน จะมีส่วนประกอบหลักคือ ผัก 50% - 60% (ผักสดๆเลย ซอยๆ เพื่อให้กินได้ง่าย โดยชนิดก็เปลี่ยนๆไปบ้างตามแต่ละช่วง) + น้ำพริก (เปลี่ยนๆไปเรื่อยๆ) + ข้าวกล้อง ประมาณ 1-1.5 ทัพพี + กับข้าวอีก 1 อย่างที่เป็นไก่ หรือ ปลาทู หรือปลาอื่นๆ + ไข่ต้ม 1 ใบ เท่านี้ก็อิ่มแล้วครับ แรกๆก็อายเค้านะครับ เค้าออกไปกินข้างนอกกัน แต่ไปๆมาๆ ตอนนี้ เอาข้าวมากินกันทั้งทีมแล้วครับ เพราะเราได้กิน ในสิ่งที่เราอยากกิน เราก็ไม่ต้องแคร์ใครครับ พี่ที่ office บอก เหลือเงินเก็บเพิ่มขึ้นเยอะเลย
แถมอีกนิด มื้อกลางวันกินเสร็จแล้ว งีบเลยครับ ที่โต๊ะนั่นแหล่ะ ประมาณ 15-20นาที ไม่เกินนี้ เพราะว่าถ้าเกินนี้จะมึน งง ซึ่งข้อดีคือ จะทำให้ช่วงบ่ายไม่ง่วงเลย เหมือนเราแบ่งการทำงานของสมองเป็นสองช่วง คือเช้า และ บ่ายครับ
สำหรับมื้อเย็น นี่หลากหลายครับ แต่หลักๆก็คือ เปิดดูตู้เย็นและครัวว่ามีอะไรกินบ้าง ก็จัดแจงไปตามนั้น เพราะว่าพอมีเวลาที่จะทำครับ แต่หลักๆก็คือเหมือนเดิม ไม่ปรุงด้วยน้ำมัน เช่น ผัด ทอด (ใช้ microwave หรือการต้มเป็นหลัก) กินนอกบ้านบ้าง ถ้าเบื่อๆ หรือวัตถุดิบหมด หรือซื้อมากินบ้างถ้าไปเจอที่ถูกใจ
เพียงเท่านี้ รับรองน้ำหนักลด หุ่นดีขึ้นอย่างแน่นอน รับประกันยินดีคืนเงิน 555 การลดน้ำหนัก ด้วยการคุมอาหาร (ไม่ใช่อด) + ออกกำลังกาย จะไม่ทำให้น้ำหนักตัวกลับมาเพิ่มอย่างรวดเร็วครับ หรือถ้าเพิ่มอย่างรวดเร็ว เพราะการไปกิน buffet ติดๆกัน ก็จะเพิ่มขึ้นแต่เพียงไม่นานครับ ไม่เกิน 1 อาทิตย์ก็จะลงมาหนักเท่าเดิม (เว้นแต่ว่า ยังไปซ้ำเรื่อยๆ อันนั้นก็เอ่อ.....)
อ้อ อีกอย่าง ถ้าสังเกตุ ผมจะไม่เลือกใช้การนับ calories เลย เพราะผมมองว่า คนเรามันมีปัจจัยอะไรที่เยอะกว่านั้น สมมุตินะครับ ร่างกายคนเรา ต้องการพลังงานวันละ 2000 Kcal แล้วกาแฟแก้วละ 2000 Kcal งั้นเราก็กินกาแฟวันละแก้วพอ มันก็ไม่ถูกนะครับ แล้วการจะมานั่งนับว่า จานนี่เท่าไร แก้วนี้เท่าไร ผมว่ามันเป็นการทำลายความสุขของการกิน อย่างที่ผมบอกเสมอๆ เรื่องกินสำหรับผมเป็นเรื่องใหญ่ จะให้มานั่งนับ นั่งกดเครื่องคิดเลข อันนั้นไม่รื่นรมณ์แน่นอน
สำคัญสุด คือเรื่องสุขภาพ คุณจะเริ่มรู้สึกว่า เดินเหินคล่องขึ้น ทำอะไรสะดวกขึ้น ความรู้สึกแบบนี้ไม่มีใครคนที่อ้วนหรือน้ำหนักตัวเยอะๆแน่นอน และไม่เจ็บไม่ป่วย ใครที่ป่วยบ่อยจะเข้าใจว่า รำคาญมากเลย อยากหายไวๆ ก็นั่นแหล่ะครับ ออกกำลังกายกันไว้ดีกว่าแก้ไขครับ
สุดท้ายนี้ เฉลยนะครับ "จงถือว่า สุขภาพ คือทรัพย์สมบัติ ประการแรก" คือ พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของเราครับ
ใครที่มีคำถามเรื่องการออกำลังกาย อยากอ้วน อยากผอม อยากออกกำลังกาย อะไรก็ถามมาได้ครับ ตอบให้ฟรีครับ ตามหลักการที่ได้ศึกษามา