ทำงานได้เงินเดือนเท่าไร ยังไม่สำคัญเท่าเก็บเงินได้เดือนละเท่าไร

ทำงานได้เงินเดือนเท่าไร ยังไม่สำคัญเท่าเก็บเงินได้เดือนละเท่าไร

มาพูดเรื่องเงินๆทองๆ อีกเรื่องหนึ่ง ผมได้สัมผัสกับคนจำนวนมาก ที่ทำงานมาตั้งแต่เรียนจบ จนปัจจุบันอายุ 30 กว่าแล้ว แต่ว่า มีเงินเก็บไม่กี่หมื่นบาท และอีกมากที่มีไม่กี่แสนและคนอื่นจำนวนที่มากที่สุด ก็คือ เงินเก็บมีหลักพันบาทเท่านั้น!!

ถ้ามองตามโลกความเป็นจริง ก็คือคนเราได้เงินเดือนไม่เท่ากัน ทำให้อำนาจในการเก็บไม่เท่ากันด้วย นั่นก็ถูกส่วนหนึ่งครับ (ย้ำว่าส่วนหนึ่ง) อีกส่วนคือ ความตั้งใจ และความอดทนมากกว่า เรื่องนี้ ที่สำคัญที่สุด เพราะว่าผมยกตัวอย่าง คนนึง ทำงานได้เงินเดือน 15,000 บาท มีแบ่งเก็บทุกเดือน เดือนละ 5,000 บาท แต่อีกคน ทำงานได้เงินเดือน 50,000 แบ่งเงินเก็บเดือนละ 10,000 บาท แบบนี้ ผมถือว่า คนแรก นั้นมีการบริหารเงิน และเก็บออมได้ดีกว่าคนที่สองมาก เพราะว่าคนแรก เก็บเงินได้ 33% ของเงินเดือน ส่วนคนที่สอง เก็บเงินได้ 25% เท่านั้น ถึงแม้ว่าคนแรก ทำงานเก็บเงินทั้งปี เท่ากับ คนที่สองเก็บเงินเพียง 6 เดือนเท่านั้น แต่ว่า ด้วยความที่เป็นคนมีความอดทน และอดออม ย่อมส่งผลให้ในระยะยาว คนแรกมีโอกาสที่จะเลี้ยงตัวเองในตอนแก่ได้อย่างสบายกว่าคนที่สองมาก เพราะหากว่าวันหนึ่ง คนแรกขึ้นมาได้เงินเดือน 50,000 เท่ากับคนที่สอง เท่ากับว่าเค้าจะมีเงินเก็บถึง 16,500 บาทต่อเดือนเลย ซึ่งหากมองในระยะยาวแล้ว คนแรกมีโอกาสที่จะมีเงินเก็บที่มากกว่าคนที่สองได้อย่างไม่ยากเลย

ดังนั้น อย่าพึ่งไปมอง ว่า เงินเดือนเราน้อย เราเก็บได้น้อย สู้คนอื่นไม่ได้ แล้วจะเสียกำลังใจ ให้มองว่าเราเก็บได้คิดเป็นกี่ % ของเงินที่เราหามาได้ นั่นจะเหมาะกว่า ยิ่งเยอะยิ่งดี โดยคนทั่วไป 10% ของเงินที่หามาได้นี่ก็ถือว่ายากแล้วครับ ขอเพียงแต่ อดทนต่อไป แต่ไม่อดอยากนะครับ

ที่สำคัญคือ เรื่องวินัยการใช้เงิน และความอดทนต่อสิ่งยั่วยุเท่านั้น ที่จะทำให้เราไม่หลงไหลไปกับอำนาจของกิเลส อยากให้มองถึงอนาคตไกลๆ หากวันนึงเกิดเหตุไม่คาดฝัน ทำให้เราต้องหยุดงานสัก 1 ปี เราจะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไร ถ้าเรายังใช้ชีวิตอยู่ได้ แม้ไม่ต้องทำงาน แล้วเราต้องมองเผื่อไปถึงคนที่อยู่ข้างหลังเราด้วย ว่าเค้าจะอยู่ได้มั้ย แต่หากเราเหลือตัวคนเดียวบนโลกใบนี้นั่นก็ว่ากันไปอีกเรื่องนึงครับ

คนที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน กว่าครึ่งหนึ่ง เป็นคนจนมาก่อน แต่เค้าก็ผันชะตาชีวิต ที่เริ่มต้นมาน้อยได้ เหมือนตัวอย่างที่ผมยกไปแล้วตั้งแต่ต้น จนขึ้นมาผงาดได้ในช่วงปลายอย่างภาคภูมิ คนเหล่านั้นเค้าไม่ได้มีพลังอะไรที่เหนือกว่าคนทั่วไปเค้ามีกันเลย แต่เค้ามีความมุ่งมั่น อดทน ตั้งใจ ในสิ่งที่เค้าทำเท่านั้นเอง ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด แน่นอนว่า ไม่มีอะไร perfect และยังไงก็ต้องเจออุปสรรค ข้อผิดพลาด ปัญหา แต่เค้าก็เลือกที่จะเข้าไปเผชิญกับมัน เพื่อท้ายที่สุดก็คือได้ผลลัพท์ที่หอมหวานในตอนท้ายนั่นเอง

กลับมาที่เรื่องออมเงิน ก็เช่นกัน ขนาดว่า การออมเงินเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัวเอง ในอนาคตแท้ๆ แต่คนส่วนใหญ่ ก็เลือกที่จะไม่ทำ และเลือกที่จะสร้างความสุขให้กับตัวเองในปัจจุบันมากกว่า เช่น ไปเดินห้าง ซื้อเสื้อผ้าราคาแพง กินอาหารราคาแพง ซื้อข้าวของเครื่องใช้ เครื่องสำอางค์ราคาแพง แล้วเงินเก็บก็เอาไว้ทีหลัง (หรือเรียกว่าใช้ก่อนเก็บทีหลัง) ซึ่งท้ายที่สุด แต่ละเดือนก็ไม่เหลือเก็บเท่าไรหรอก ถ้าเพียงแค่ เค้าหยุด เพื่อคิด พิจารณาสักนิดหนึ่ง ว่า ในอนาคตเราจะมีความสุขมั้ย กับสิ่งที่เราทำอยู่ในวันนี้ ข้าวของเครื่องใช้เหล่านี้ ทำให้มีประโยชน์อะไรกับเราในอนาคตบ้าง อาหารมื้อละ 50 บาท กับมื้อละ 1000 บาทอิ่มเหมือนกันหรือเปล่า ถ้าเราเอาสติเข้าคิดให้ละเอียดดีๆ เราก็จะค่อยๆพบกบความจริงเอง ว่า นี่เรากำลังทำอะไรลงไปเนี่ย.....

ถ้าจะเริ่มปรับปรุงตัวตั้งแต่วันนี้ ไม่มีคำว่าสายเกินไปหรอกครับ เพราะถ้าไม่มีวันเริ่ม ก็คงไม่มีวันถึงจุดหมายอย่างแน่นอน การเก็บเงินนั้น ง่ายมากๆ เพียงแค่เงินเดือนออกเมื่อไรก็หักส่วนหนึ่งเข้าไปออมไว้ในที่ ที่แยกจาก ATM ปกติเลยทันที แล้วเอาเงินเดือนที่เหลือมากินใช้ในแต่ละเดือนไปเท่านั้นเอง 

ถ้าให้ผมแนะนำแบบชี้ชัดๆ ก็คือ ไปเปิดกองทุนตราสารหนี้กับสถาบันการเงินที่ท่านชอบ ทุกธนาคารมีหมด หรือสนใจธนาคารไหน ก็ถามผมได้ ผมก็มีใช้บริการหลายธนาคารเหมือนกันแนะนำกันได้ คือเมื่อเงินเดือนออกปุ้บ ให้สั่งซื้อกองทุน 10% ของเงินทันทีเลย แล้วกองทุนก็เก็บเอาไว้อย่างนั้น อย่าขาย และอย่าไปสนใจ ทำให้ลืมๆไปเลยว่าเรามีเงินก้อนนี้อยู่ ถ้าทำแบบนี้ได้ทุกเดือนเชื่อผมเถอะ วันหนึ่งที่คุณเดือดร้อน อับจนหนทางแล้ว เงินจำนวนนี้ เพียงแค่ 10% ของคุณนี่แหล่ะ จะกลับมาช่วยเหลือคุณอย่างที่คุณไม่เคยคาดคิดเอาไว้เลยล่ะ

คำถามคือ ต้อง 10% อย่างนั้นหรือ? ไม่ครับ เพราะว่าอย่างที่ทราบว่า ภาระแต่ละคนนั้นมีไม่เท่ากัน จะให้เก็บเท่ากันก็เป็นไปไม่ได้ แต่อยากให้เริ่มต้นที่ 10% และลองขยับขึ้น เดือนละ 1% ลองดูว่า กี่% ที่จะทำให้เราใช้เงินได้แบบพอดีๆ ไม่มากไม่น้อยไป อันนี้ผมตอบให้ไม่ได้ครับ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลเอง อย่างของผมเอง เก็บอยู่ที่ประมาณ 40 - 50% ของเงินที่ได้ในแต่ละเดือนครับ (บางเดือนที่ซื้อของชิ้นใหญ่ ก็เหลือไม่ถึง) เคยมีใช้ติดลบจำได้ว่า 2 ครั้งเท่านั้นครับ ซื้อของชิ้นใหญ่หลายชิ้นในเดือนเดียวกัน ทำให้ติดลบเลย คือใช้เงินมากกว่าที่หามาได้ แต่ว่า ด้วยเงินเก็บที่มีอยู่แล้ว ก็ไม่ได้ทำให้เป็นปัญหาอะไรครับ เดือนถัดๆมาก็เก็บตามปกติเหมือนเดิมที่เคยทำ

การเก็บออม เป็นเรื่องที่สำคัญ และเราทำเพื่อตัวเอง ไม่ใช่เพื่อใคร ดังนั้นใครที่ยังไม่เริ่ม ก็เริ่มได้แล้วนะครับ

Create: Modify : 2013-04-03 08:56:24 Read : 17933 URL :