ระวัง ตกเป็นเหยื่อ นโยบายรถคันแรก คืน 1 แสน
ที่มาเขียนเตือน ก็ด้วยความเป็นห่วง เพราะว่าหลายคน ไม่เคยคิดว่าจะได้รับผลกระทบ อยู่ดีๆไม่ว่าดี กลายเป็นหนี้ขึ้นมาเฉยๆ ก็มีตัวอย่างจริงให้เห็นด้วย เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อไป แต่ที่แน่ๆ แน่นอนที่สุด เสียยิ่งกว่าอะไร ก็คือ จากนโยบายนี้ ทำให้ปริมาณรถบนท้องถนนเพิ่มขึ้น เพราะว่าคนก็ซื้อรถมาขับเองมากขึ้น และรถก็จะติดเพิ่มขึ้นไปอีก จากเดิมที่ติดจะแย่อยู่แล้ว กลายเป็นว่า ถึงคุณจะไม่ได้ร่วมกับนโยบายนี้ แต่ก็ต้องรับกรรมกับนโยบายนี้ไปด้วย นี้ยังไม่ได้นับรวมกับ นักขับมือใหม่ (ไม่เรียกป้ายแดงละกัน เดี๋ยวบางคนจะเถียงว่า ถึงป้ายแดงแต่ก็ขับมานานแล้วนะ อะไรแบบนี้) ที่จะประมาทและเพิ่มอุบัติเหตุบนท้องถนนเพิ่มขึ้นอีก
นายจอร์จ เป็นพนักงานบริษัทธรรมดาคนนึง ระดับดีหน่อย เงินเดือน 20,000 บาทต่อเดือน หักนู่นนี่นั่นแล้วเหลือรับจริง ประมาณ 18,000 บาท มีชีวิตแบบมนุษย์เงินเดือน ก็คือ ตื่นไปทำงานแต่เช้า เลิกงานก็กลับบ้าน มีไปสังสรรค์กับเพื่อนบ้าง อาทิตย์ละครั้ง พอสนุกสนาน เสาร์อาทิตย์ก็พักผ่อนอยู่บ้านบ้าง ออกไปเดินห้างบ้าง แล้วแต่โอกาสอำนวย แต่แน่นอนว่า จอร์จ อยากได้รถสักคันเอาไว้ขับ เผื่อไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือขับไปทำงาน จะได้ไม่ต้องโหนรถเมล์ ทุกวัน รถก็ติด เบียด แน่น ร้อน ยิ่งถ้าวันไหนฝนตกหนักๆนะคุณเอ้ย ไม่ต้องอธิบาย คนไม่เคยขึ้นรถเมลครีมแดง วันฝนตกจะไม่มีทางเข้าใจเลย
วันหนึ่ง จอร์จได้ยินนโยบายนี้ทาง TV ก็เลยศึกษา แล้วพบว่า จอร์จจะต้องซื้อรถในปีนี้ แล้วเมื่อสิ้นถัดไป ก็ค่อยยื่นเรื่องเอาเงินแสนนึงคืนกลับมา นั่นแปลว่า รถคันที่จอร์จจะซื้อ จะได้ส่วนลดราคาแสนนึงเลยทีเดียว จอร์จไม่รอช้า รีบคำนวนราคาผ่อนอย่างไว พบว่า หลังจากดาว์นและออกรถมาแล้ว ผ่อนเพียงเดือนละ 8,000 บาทเท่านั้น แปลว่า จอร์จจะเหลือเงินไว้ใช้ เดือนละ 10,000 บาทหลังจากหักค่าผ่อนรถแล้ว จอร์จคิดว่าไหวแน่นอน สบายมาก ก็เลยตัดสินใจซื้อ
แต่อนิจจา โลกความจริง มันมาเร็ว เพราะว่า เมื่อตอนที่ออกรถ จอร์จก็ต้องโดนค่าประกันภัยชั้นหนึ่งไปแล้ว 15,000 บาท ดีว่าจอร์จยังมีเงินเก็บบ้าง ก็หมุนมาโปะได้ แต่ว่าเงินเก็บก้อนใหญ่นั้น หมดไปกับเงินดาวน์รถแล้วดังนั้น เงินเก็บของจอร์จก็แทบไม่เหลือแล้วล่ะ เหลือแต่เงินพอกิน แบบเดือนชนเดือนหมุนๆกันไป
หลังจากที่จอร์จมีรถ ก็ไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวกมากขึ้น จอร์จได้ไปใช้ชีวิตที่อยากใช้ ไปเที่ยวที่ที่อยากเที่ยวมานาน แต่ว่าไม่มีรถก็เลยไม่เคยได้ไปสักทีเพราะเดินทางลำบาก หรือว่า เสาร์อาทิตย์ อยู่บ้านเบื่อ คิดจะออกไปเดินห้างก็ขับรถไปเลย (ถึงรถจะไม่หรูก็ตาม เพราะว่าเลือกรถราคาประหยัด จะได้ผ่อนต่ำๆ) จนในที่สุด จอร์จก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองถังแตก เมื่อไม่มีเงินจะมาเติมน้ำมันรถ
อยู่ดีๆจอร์จคงไม่ถังแตกได้หรอก แต่ว่าที่ถังแตก เพราะว่าหลังจากที่จอร์จมีรถ ก็เริ่มออกเที่ยว ออกเที่ยวก็ใช้เงิน แค่ขับรถก็ใช้เงินแล้ว เพราะว่าต้องเติมน้ำมัน นั่นเป็นสิ่งที่จอร์จคาดไม่ถึงมาก่อนเลย ว่าจะต้องเจออะไรแบบนี้ เพราะว่าคิดไว้แค่ว่าผ่อนรถเดือนละ 8,000 อย่างเดียวเท่านั้นเอง แต่ว่า เรื่องของจอร์จคงยังไม่จบ พอหลังจากที่จอร์จเริ่มถังแตก ก็ต้องมาทบทวนตัวเอง แล้วก็เลิกขับรถ เพราะว่าไม่เงินเติมน้ำมัน แล้วก็กลับไปขึ้นรถเมล์ เบียดร้อนเหมือนเดิม แต่ว่าสิ่งที่ต่างไปก็คือ จอร์จยังคงต้องจ่ายเดือนละ 8,000 เหมือนเดิม
ผ่านไป 1 ปี ไวเหมือนโกหก จอร์จวันมาครบรอบปี ถึงจะได้แสนนึงคืนมาแล้ว แต่ยัง ต้องจ่ายค่าประกันอีกแล้ว และเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง รวมทั้งเปลี่ยนยาง.... ทำให้จอร์จหมดเงินไปอีกไม่น้อย แน่นอนว่าคราวนี้ จอร์จไม่เหลือเงินแล้ว ก็ต้องเริ่มไปรูดบัตรเงินสด มาจ่ายค่าประกัน เท่านั้นยังไม่พอ จากเดิม ที่รถไม่ค่อยได้ใช้อยู่แล้ว แต่ต้องผ่อนเท่าเดิมทุกเดือน ตอนนี้กลายเป็นต้องผ่อนบัตรเครดิตเพิ่มเข้าไปอีก
เมื่อดินค่อยๆพอกหางหมู มันก็จะใหญ่ขึ้น จนท้ายทีสุด จอร์จผ่อนทั้งบัตรเครดิต และ รถไม่ได้ เพราะว่าต้องกินต้องใช้ จอร์จ ก็ตัดสินใจว่า ไหนๆ รถก็ไม่ได้ใช้ ไม่ผ่อนต่อแล้วกัน ปล่อยให้มายึดรถคืนไป จะได้จบ จากนั้นไฟแนนท์ก็มายึดรถจอร์จไป เพระาว่าไม่มีเงินผ่อน แต่นั่นมันคงเป็นแค่เรื่องในความฝันว่าจะจบง่ายๆ เพราะว่าความเป็นจริงก็คือ รถของจอร์จ ราคา 600,000 บาท จอร์จผ่อนไปแล้ว 176,000 บาท ดาว์นเอาไว้ก่อนแล้ว 100,000 แต่ว่ารถจอร์จที่ถูกยึดไป เค้าเอาไปประมูลขาย ได้เงินมาเพียง 250,000 บาทเท่านั้น เกิดส่วนต่างทันที 74,000 บาท และดอกเบี้ยเข้าไปอีก เกือบแสนบาท หนี้ของจอร์จเพิ่มขึ้นทันที จากเดิมที่ต้องผ่อนบัตรเครดิตแล้ว ถึงตอนนี้ไม่มีรถแล้ว ยังต้องมาผ่อนหนี้รถต่ออีก น่าเจ็บใจมาก เงินก็ต้องจ่าย ขับก็ไม่ได้ขับ เท่านั้นยังไม่พอเมื่อน้ำลดตอก็ผุด เพราะว่านโยบายรถคันแรก ระบุเอาไว้จัดเจนว่าหากไม่มีความสามารถผ่อนชำระ ทำให้ถูกยึดรถไปประมูลขายนั้น เจ้าของรถ จะต้องจ่ายภาษีคืน ทำให้จอร์จ เป็นหนี้อีกทันที แสนนึง รวมดอกเบี้ยปรับอีก
จบงานนี้ จอร์จเป็นหน้าบัตรเครดิต + หนี้รถที่ต้องผ่อนต่อแม้ว่าโดนยึดคืนไปแล้ว + เป็นหนี้รัฐ ที่ไปเอาภาษีมาแสนนึง ทั้งหมดนี้ แลกกับการมีรถขับแค่สองปีกว่าเท่านั้น
แล้วอย่างนี้จะให้จอร์จทำอย่างไร
จอร์จคงบอกได้แต่เพียง รู้อย่างนี้ไม่น่าซื้อรถเลย.....
เรื่องนี้มันเริ่มต้นจาก นโยบายนี้ เป็นแรงกระตุ้น ทำให้คนที่ไม่มีโอกาสมีรถ ก็อยากมีรถขึ้นมา ทั้งๆที่บางคนจำเป็นนิดเดียว แต่ก็คิดเอาเองว่าจำเป็นมาก บางคนคิดไปถึงว่า อยู่ดีๆ ราคารถ ลดให้แสนนึง ไม่ซื้อก็บ้าแล้ว เพราะว่าหลายคน ไม่มีความสามารถในการผ่อนได้ ตัวอย่างส่วนใหญ่เลย ผมยกเงินเดือน 20,000 บาทต่อเดือนแล้วกัน หลายคนเงินเดือนเท่านี้แต่ว่าเงินใช้ยังแค่เดือนชนเดือนเลย ไม่เคยเหลือเก็บเลย หรือว่าเหลือเก็บ ก็เหลือไม่กี่ร้อยบาท หรือไม่กี่พันบาท เพราะว่าต้องไม่ลืม ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าห้อง ค่าโทรศัพท์ ค่า internet ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าท่องเที่ยวพักผ่อน สังสรรค์ กินดื่ม ฯลฯ เยอะครับเยอะ คนเหล่านี้ ที่ไม่มีความยับยั้งชั่งใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาส ก็เลยตัดสินใจซื้อซะเลย แล้วไปผ่อนเอาเดือนละ 7000 กว่าบาทก็ว่าไป โดยใจก็คิดว่า เอาน่ะ เพื่อรถ อดๆหน่อย ก็ได้แล้ว
แต่ว่าในความเป็นจริง ก็คือว่า เมื่อคนที่เค้ามีนิสัยแบบนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างไร ก็ยังติดนิสัยเดิมๆได้อยู่ ในที่สุด ก็เริ่มผ่อนไม่ไหว บางคนก็หาทางออกที่ผิด ด้วยการไปรูดบัตรเครดิตมาโปะ เพื่อให้ผ่อนต่อไปได้ บางคนผิดยิ่งกว่า พอวงเงินบัตรแรกเต็มไปเอาใบใหม่มารูดโปะอีก ทำไปทำมา หมดทุกบัตรแล้ว ก็เริ่มไม่ไหว หมดตัว เงินจะกินข้าวยังไม่มี แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาผ่อนรถ จ่ายหนี้บัตรอีก
เมื่อถึงจุดนี้ นี่คือสถานการณ์เลวร้ายขั้นสูงสุดแล้วนะครับ เพราะว่าบอกได้เลย ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็คือ รถโดนยึดแน่ๆ และต้องขึ้นศาล ในเรื่องของหนี้บัตรแน่ๆ สรุปว่า อีกยาวครับ ยังไม่นับว่าต้องไปตามจ่ายเงินส่วนที่ตัวเองไม่ได้ใช้อีก จากการโดนฟ้องร้องและต้องชำระหนี้นั่นแหล่ะ
วันนี้ไม่ได้มีแต่เรื่องของจอร์จ เพราะว่าคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ โดนด้วยก็มี
น.ส.สวย เป็นเด็กจบใหม่ ประสบการณ์ยังไม่มากถึงเข้าทำงานได้ไม่นาน และคุณสมบัติ ก็เหมาะกับนโยบายรถคันแรกมาก แต่ว่า สวย ไม่ได้อยากซื้อหรอก เพราะว่าพึ่งจบ อยากทำงานเก็บเงินก่อน แต่ต่อมาเพื่อนร่วมงานของสวย ที่ค่อนข้างสนิทเลยล่ะ ก็อยากได้รถขึ้นมา แต่ว่าเงินเดือนตัวเองไม่ถึงขั้น เลยเห็นว่าสวยเงินเดือนถึงขั้น ก็เลยมาขอให้สวยเซ็นต์ค้ำให้หน่อย ไม่ต้องผ่อน ไม่ต้องจ่าย ไม่ต้องเสียค่าอะไรเลย เพราะว่าเดียวเพื่อนของสวยจัดการเองทั้งหมด สวยก็คิดว่าไม่เป็นอะไร แค่เซ็นต์ครั้งเดียวจะได้จบๆ เพราะว่ารำคาญที่เพื่อนคนนี้มาตื๊อเช้าเย็นหลายวันแล้ว อีกอย่าง สวย คิดว่า ยังไงเราไม่ให้เงินซะอย่าง เพื่อนคนนี้ ก็คงเอาเงินเราไปไม่ได้ และ อีกอย่างก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์กันมาตั้งแต่ตอนแรกเริ่มงาน ก็เลยยอมเซ็นต์ไปแบบไม่เต็มใจ
จากนั้น เพื่อนคนนี้ก็ไปเข้าโครงการเรียบร้อย ได้รถมาขับไม่นาน เพื่อนคนนี้ที่ปกติเงินเดือนน้อยอยู่แล้ว พอมีรถชีวิตก็ยิ่งลำบากเพิ่มขึ้นอีก ในที่สุดก็ผ่อนไม่ไหวแล้วปล่อยให้รถยึดๆไปซะ หลังจากที่รถโดนยึดไม่นาน เพื่อนคนนี้ก็ไม่มาทำงาน แล้วหายตัวไปเลย สวย ก็ได้แต่นั่งมอง ทำอะไรไม่ได้ เพราะว่ายังไงซะ ก็ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง เพราะเตือนไปแล้วก็ไม่ฟังเอง แต่หลังจากนั้นไม่นานงานเข้า สวย ทันที เพราะว่าสวยเป็นคนเซ็นต์ค้ำประกัน ดังนั้น สวย เลยต้องรับผิดชอบแทนเพื่อนคนนี้ทันที ถึงหนี้ส่วนต่างหลังจากที่เอารถไปประมูลแล้ว สวย เสียใจมาก รถก็ไม่ได้ใช้ เรียกได้ว่าไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยดีกว่า แต่สุดท้ายก็ต้องมาจ่ายเงินให้กับอะไรก็ไม่รู้
จริงๆแล้ว คนที่อยากมีอิสระในการเดินทาง ไม่จำเป็นต้องซื้อรถขับ หรือว่า ไปยืมคนรู้จักขับ ก็ได้นะครับ เพราะว่าแค่ไปเช่ารถ เมื่อเราอยากจะใช้เท่านั้นเอง อย่างเช่นไปเที่ยว สมมุติว่า ไปกันสองคน เช่ารถ อย่าง vios คันนึงก็เหลือเฟือแล้ว วันละ 1,300 บาท จ่ายค่าน้ำมันเอง ขึ้นอยู่กับว่าขับมากหรือน้อย ผมตีเผื่อๆเอาไว้ให้ กิโลละสองบาท ก็ลองไปคำนวนเอง ไม่เกินนั้นหรอก แล้วเอาค่าใช้จ่ายมาหารสอง ก็จ่ายคนละไม่เท่าไรเอง ลองคิดดูครับ เดือนนึงเช่ารถขับเที่ยวเดือนละครั้งเท่านั้น เที่ยวทุกเดือนตลอดทั้งปีเลยเอ้า (อะไรจะรวยขนาดนั้น มีเงินเที่ยวได้ทุกๆเดือน) ยังเสียค่าใช้จ่ายไปกับรถ แค่หมื่นกว่าบาทต่อปีเอง ไม่ต้องมีค่าบำรุงรักษา เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เปลี่ยนล้อ เปลี่ยนยาง ฯลฯ ดูอย่างจอร์จเอาแล้วกันครับ ค่าประกันก็ปีละหมื่นกว่าบาทเข้าไปแล้ว ยังไม่รวมน้ำมันเลย แล้วอย่างนี้มันจะคุ้มมั้ยครับ การเช่ารถขับ เราก็ได้รถใหม่ๆมาขับตลอดเวลา หรือว่า บางครั้งไปเที่ยวกลุ่มใหญ่ สี่คน เช่า fortuner ไปเลย วันละสองพันบาท หารสี่คน ก็ยังสบายๆ แถมด้วยนั่งสบายกว่าอีกด้วย
ผมเคยเขียนวิเคราะห์เอาไว้รอบหนึ่งแล้วนะครับ สำหรับคนที่อยากมีรถ กับคนที่เลือกทางเช่ารถ นี่ขนาดว่าใช้รถค่อนข้างเยอะ ยังคุ้มเลย ยิ่งคนใช้น้อย เพราะกลัวค่าน้ำมัน การเช่ารถจะยิ่งคุ้มมากขึ้นไปอีก
นโยบายนี้ หากเปรียบให้เห็นชัดเจน มันคือนโยบายแบบ ประชานิยม เรียกได้ว่าเอาใจคนดู(คนที่เลือกเค้า) แต่ขาดการคิดวิเคราะห์อย่างแยบยล เพราะว่าหากเพิ่มปริมาณรถ รถก็จะติดเพิ่มขึ้นอีก มลพิษเพิ่มขึ้น อุบัติเหตุเพิ่มขึ้น ใช้เวลาบนท้องถนนเพิ่มขึ้น ความเป็นอยู่ก็แย่ลง นั่นแปลว่า ระยะยาว ความสุขของประชาชนลดลง แต่ระยะสั้นได้เพิ่มแน่นอน ดูอย่างจอร์จเป็นตัวอย่าง
นโยบาย เค้ามีสิทธ์ให้เราใช้ แต่เราไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้ ถ้าเรายังไม่พร้อม ส่วนตัวผมเอง ผมมีเงินเก็บพอที่จะซื้อสดมือ 1 ได้เลย แต่ผมก็ไม่ซื้อ ถึงมีนโยบายนี้ก็ยังไม่ซื้ออยู่ดี เพราะว่าผมยังไม่เห็นความจำเป็นในเร็วนี้ๆ ที่จะต้องใช้ รวมทั้ง ผมมองเห็นค่าใช้จ่ายแฝงแล้ว ที่มันไม่จบแค่จ่ายเงินซื้อรถแน่นอน และได้รถมาก็เอามานั่งจอดแช่บนถนนอีก สู้จ่ายเงิน 20 บาท นั่งแช่บน ขสมก รถแอร์ ไม่ดีกว่าเหรอ มีคนขับด้วย หรือบอกว่าคนเยอะ จ่ายสัก 100 บาท นั่งหลับใน taxi ไปเลยก็ยังได้ ถึงแล้วเค้าก็ปลุกเรา ไม่เห็นต้องถ่างตาขับเองเลย ค่าน้ำมัน บำรุงรักษาก็ไม่ต้องจ่าย นั่งแล้วจบ บางคนบอกว่า รีบ ถ้ารีบ ก็ BTS MRT แล้วไปต่อ taxi ผม confirm เลยว่า เร็วกว่าขับรถเองแน่นอน ถึงที่หมายคือถึง ไม่ต้องวนรถหาที่จอดที่ต้องวนอยู่นั่น วนจน งง ก็มี
แต่ถึงอย่างไรผมก็สอบใบขับขี่เอาไว้ เพราะว่าช่วงนี้ว่างนั่นเอง 5555 สอบเอาไว้หมด ทั้ง รถจักรยานยนต์ รถยนต์ เผื่อว่าจะต้องใช้ ต้องขับ ต้องเช่า ก็จะได้มีใช้เลย
ทุกสิ่งอย่าง คิดให้รอบคอบก่อนการตัดสินใจ คิดให้ครบ ให้รอบ มองให้ขาด ปรึกษาคนรู้ คนที่เข้าใจ เราจะเห็นภาพกว้างขึ้นครับ และไม่โดนชักจูงได้ง่ายๆ